ย้อนกลับไปเมื่อสมัยอดีต เจ้าพระยานคร เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช (ไม่ทราบหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นเจ้าเมืองคนไหน) ได้แล่นเรือมาบริเวณชายหาดแถบนี้ (ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นหาดบางปู หรือหาดแหลมศาลา) ระหว่างที่แล่นเรืออยู่นั้นมีพายุโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถแล่นเรือต่อไปได้ เจ้าพระยานคร จึงนำเรือเข้าเทียบชายฝั่งของหาด เพื่อหลบพักรอให้พายุสงบลงเสียก่อน
หลังจากที่พักเรืออยู่เป็นเวลานานหลายวัน เจ้าพระยานคร เริ่มมีความกระหายน้ำจึงได้สร้างบ่อน้ำขึ้น 1 บ่อ (เป็นบ่อน้ำที่สร้างด้วยอิฐดินเผารูปสี่เหลี่ยมคางหมู ขนาดกว้าง 1 เมตร ลึก 4 เมตร) ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ บ่อพระยานคร นั่นเองครับ จาก บ่อพระยานคร นี้เอง เราพอจะอนุมานได้ว่า ชื่อ ถ้ำพระยานคร ก็น่าจะมีที่มาจาก เจ้าพระยานคร คนนี้
ภายหลัง ร.5 ได้เสด็จประพาสถ้ำแห่งนี้ และติดอกติดใจในความสวยงามของถ้ำ จึงสั่งให้ช่างสร้างพลับพลาสำหรับนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจขึ้น ตรงบริเวณเนินดินกลางถ้ำ และได้ตั้งชื่อให้พลับพลาหลังนี้ว่า พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงลงพระปรมาภิไธย จ.ป.ร. ไว้ที่ผนังถ้ำด้วย
* หมายเหตุ พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ เป็นตราประจำจังหวัดประจวบคิรีขันธ์
ถัดมาในยุคของ ร.7 พระองค์ก็ทรงเสด็จประพาสที่ถ้ำแห่งนี้เช่นเดียวกัน และได้ลงพระปรมาภิไธย ป.ป.ร. ไว้ที่ผนังถ้ำด้วย
ถัดมาในยุคของ ร.9 ในหลวงของเรา ทรงเสด็จประพาสที่ถ้ำแห่งนี้ถึง 2 ครั้ง ด้วยกัน
นับว่าเป็นสถานที่ที่นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย หากไม่สวยงามจริงกษัตริย์แห่งราชวงค์จักรีของเราคงไม่ไปเยี่ยมเยียนถึง 3 ประองค์
เพื่อน ๆ คนไหนที่อยากไปสัมผัสกับความสวยงามผสานกับความลึกลับของ ถ้ำพระยานคร ลองไปได้นะครับ แต่ชาวบ้านแถวนั้นแนะนำว่าให้ไปช่วงหน้าหนาว เพราะจะเห็นแสงอาทิตย์ลอดช่องถ้ำส่องลงมาที่ พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ เป็นหนึ่งใน Unseen Thailand ด้วย รายละเอียดตัวเต็มสามารถดูได้จากลิงค์ด้านล่างครับ
https://jbtravel88.blogspot.com/2018/07/phraya-nakhon-cave-samroiyod-prachuap.html